ผมมีความข้องใจสงสัยเหลือเกินกับข่าวที่เพิ่งออกมาเมื่อสัปดาห์ก่อน เรื่องพระครูอุดมปัญญาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดชัยมงคล และเจ้าคณะอำเภอหนองกี่ จ.บุรีรัมย์ ตกเป็นเหยื่อของแก๊งต้มตุ๋นซื้อขายสมณศักดิ์ โอนเงินเข้าบัญชีของพระมหาปรีชา สิริจันโท ซึ่งอ้างว่าอยู่วัดบวรฯ (ซึ่งตามข่าววัดบวรฯ ออกมาปฏิเสธว่าไม่มีพระรูปนี้ในวัด) ผู้ต้มตุ๋นไป ๒๐๐,๐๐๐ บาท และยังมีพระผู้ใหญ่ในภาคอีสานอีกหลายรูป ตกเป็นเหยื่อแก๊งดังกล่าวโอนเงินเข้าบัญชีไปเป็นจำนวนมาก และที่สำคัญก็คือ มีพระเถระผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นถึงกรรมการมหาเถรสมาคม คือ พระธรรมสิทธิเวที ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศ ออกมาให้ข่าวว่าเรื่องดังกล่าวไม่เป็นความผิดพระธรรมวินัย เพราะในพระธรรมวินัยไม่มีกำหนดห้ามพฤติกรรมลักษณะนี้ เพียงแต่มองว่าเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมที่พระสงฆ์จะทำเท่านั้น (ข่าวจาก คม ชัด ลึก ฉบับวันเสาร์ที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗)
         ที่ข้องใจสงสัยในประการแรก ก็คือ มันไปตรงกับข้อสันนิษฐานของผมในอดีต เพราะในอดีตเมื่อ ๒ ปีที่แล้วผมได้มีโอกาสไปจังหวัดหนึ่งทางภาคเหนือ ได้ทราบเรื่องว่ามีพระเถระรูปหนึ่งในจังหวัดนั้นได้รับการแต่งตั้งสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตร แต่ไม่มีชาวบ้าน หรือใครเลยที่จะไปรับพัดยศกับหลวงพ่อเจ้าอาวาส ไม่ว่าจะเป็นกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน รวมไปถึงครูใหญ่ในโรงเรียนของวัด และจากการได้มีโอกาสไปพูดคุยกับบุคคลเหล่านั้นถึงได้ทราบว่า ชาวบ้านเหล่านั้นไม่ทราบว่าหลวงพ่อได้รับสมณศักดิ์เข้าไปได้อย่างไร ในหลวงทรงพระราชทานให้ได้อย่างไร เพราะเจ้าอาวาสวัน ๆ ไม่ทำอะไรเลย มีแต่กินกับนอนเท่านั้น เป็นที่เบื่อหน่ายของชาวบ้านอย่างมาก จึงพร้อมใจกันไม่ให้ความสนใจ จากวันนั้นมาถึงวันนี้ พอได้ยินเรื่องมีการซื้อขายสมณศักดิ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ เลยมีความรู้สึกว่าผมรู้ถึงสาเหตุแล้วว่าหลวงพ่อรูปนั้นได้สมณศักดิ์มาได้อย่างไร
         ประการที่สอง การที่กรรมการมหาเถรสมาคมออกมาบอกว่าไม่เป็นการผิดพระธรรมวินัย แต่ไม่ควรทำอย่างนั้นแสดงว่าถึงแม้ทำแล้วก็ไม่เป็นไร ไม่มีใครสามารถว่ากล่าวตักเตือนหรือลงโทษอะไรได้เลยใช่หรือไม่ (หรือทำได้แต่อย่าประเจิดประเจ้อ) แทนที่จะไปมุ่งจับหรือหาตัวแต่พระมหาปรีชา (ซึ่งอาจจะมีจริงแต่ที่ทำไม่สำเร็จ เพราะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองของคณะสงฆ์ในวัดบวรฯ ดังที่เป็นข่าวฮือฮาอยู่ในขณะนี้ก็ไม่รู้) ผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นแก๊งต้มตุ๋นหลอกลวง ทำไมเราไม่มาตรวจสอบพระสงฆ์ที่มีความคิดคดโกงการพระราชทานสมณศักดิ์กันด้วย ว่าการทำอย่างนี้ผิดจริยาพระสังฆาธิการหรือไม่ (อย่างน้อยควรตั้งกรรมการตรวจสอบเพื่อปลดออกจากตำแหน่ง) เพราะว่านอกจากจะตั้งใจทุจริตทั้งในเรื่องผลงานซึ่งไม่มีจริง รวมไปถึงบิดเบือนปลอมแปลงประวัติการขอแต่งตั้ง/เลื่อนสมณศักดิ์ ด้วย (ถ้าพระสังฆาธิการเป็นเจ้าหน้าที่ตามกฎหมาย ลักษณะนี้จะเป็นการตั้งใจทุจริตเอกสารทางราชการหรือไม่ และถือว่าได้ทำการสำเร็จแล้วเพราะมีการโอนเงินเสร็จสิ้นแล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่เป็นเหตุทำให้ได้รับการเลื่อนสมณศักดิ์ก็ตาม) เป็นการตั้งใจจะเบียดบังโอกาสเลื่อนสมณศักดิ์ของพระสงฆ์ที่ได้ตั้งหน้าตั้งตาทำความดีความชอบ และควรได้รับการยกย่องสรรเสริญหรือไม่ จะทำให้ต่อไปก็จะไม่มีพระสงฆ์รูปใดอยากทำความดีเพื่อได้รับการเลื่อนสมณศักดิ์อีกแล้ว เพราะสู้การเอาเงินไปซื้อไม่ได้ ที่จริงแล้วถ้ากฎมหาเถรสมาคมทำอะไรไม่ได้เลย อย่างน้อยพระสงฆ์ที่ยังประพฤติดีประพฤติชอบในเขตปกครองนั้น ๆ (น่าจะยังมีอยู่ คงไม่ได้ซื้อสมณศักดิ์มาทั้งหมดหรอกนะครับ) ก็ควรลงสังฆามติ ไม่คบ ไม่ร่วมสังฆกรรมด้วยกับพระสงฆ์รูปดังกล่าว เพราะมีเจตนาเอาเปรียบและมักใหญ่ใฝ่สูง โดยไม่เลือกวิธีการ ทำให้พระสงฆ์ดี ๆ ต้องเสียโอกาส (ดีกว่าการมาประกาศไม่ร่วมสังฆกรรม กับ ดร.วิษณุ เป็นไหน ๆ สงสัยเหลือเกินว่าเรื่องที่น่าทำ น่าใส่ใจ ไม่ค่อยสนใจกันเลยนะ หรือเป็นพวกเดียวกัน หรือไม่ก็คงทำแล้วไม่ดังเท่าหรือเปล่า) และที่สำคัญที่สุด
         ก็คือ การกระทำอย่างนี้เป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของพระมหากษัตริย์หรือไม่ ทำให้คิดได้ว่าสมณศักดิ์ (หรือยศของพระสงฆ์ที่ได้รับพระราชทานจากในหลวง) สามารถใช้เงินซื้อได้ (อย่างน้อยผู้กระทำก็คิดอย่างนั้นจริง ๆ เพราะได้โอนเงินเรียบร้อยแล้ว) ยังไม่รวมไปถึงต้องตรวจสอบถึงที่มาของเงินที่ใช้ในการซื้อสมณศักดิ์ของพระสงฆ์เหล่านั้น ว่าเป็นเงินของใคร ของส่วนตัวหรือของวัด ถ้าเป็นของวัดจริง ก็น่าจะเป็นอาบัติปาราชิกด้วยซ้ำ ไม่ใช่แค่ออกมาบอกว่าไม่ผิดพระธรรมวินัยเท่านั้น อย่างความคิดเห็นของกรรมการมหาเถรสมาคมบางรูป
         และจากการที่ออกมาให้สัมภาษณ์ของกรรมการมหาเถรสมาคมดังกล่าว ตอนนี้ผมได้ยินว่ามีพระสงฆ์บางกลุ่มเริ่มรวมกลุ่มกันขึ้นมาแล้ว เพื่อที่จะทำการวิ่งเต้นและรับซื้อขายสมณศักดิ์กันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน เพราะได้รับการยืนยันแล้วนี่ครับว่าไม่ผิดพระธรรมวินัย เพียงแต่ว่าไม่ควรทำเท่านั้น ในอดีตที่ผ่านมาก็เห็นกันตั้งมากมายแล้วนะครับว่า ขนาดบอกว่าผิดธรรมวินัย ก็ยังทำกันโครม ๆ มหาเถรสมาคมก็ยังไม่เคยทำอะไรได้อยู่แล้ว (ดูกรณีธรรมกายเป็นตัวอย่างก็แล้วกัน) มาถึงตอนนี้เริ่มสงสารและเห็นใจ พระมหาปรีชา เหลือเกินครับว่า ถ้ารอดจากคดีความมาได้คราวนี้คงจะหาลูกค้าได้ลำบากหน่อย เพราะจะมีคู่แข่งวิ่งเจรจาซื้อขายสมณศักดิ์เพิ่มมากขึ้นนะซิครับ น่าเป็นห่วงเหลือเกิน สำหรับวงการคณะสงฆ์แห่งราชอาณาจักรไทย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น